คุณแม่คนไหนบ้างคะที่เคยเจอสถานการณ์แบบนี้: ลูกน้อยร้องไห้งอแงเสียงดังกลางห้างสรรพสินค้า เพราะอยากได้ของเล่นทันที หรือเด็กๆ ทะเลาะกันเพราะแย่งกันเล่นของเล่นชิ้นเดียว ไม่ยอมรอให้ถึงคิวตัวเอง?
เชื่อว่าหลายคนคงเคยผ่านประสบการณ์แบบนี้มาแล้วใช่ไหมคะ? มันทั้งน่าอายและน่าหงุดหงิดใช่ไหมล่ะ? แต่รู้ไหมคะว่า การที่ลูกน้อยไม่รู้จักรอคอย ไม่ใช่แค่ปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น แต่อาจส่งผลกระทบต่อชีวิตของเขาในระยะยาวด้วย
ลองนึกภาพดูนะคะ ถ้าลูกของเราโตขึ้นมาแล้วยังไม่รู้จักรอคอย เขาจะเป็นอย่างไร? อาจจะเป็นคนใจร้อน ทำงานไม่สำเร็จ หรือมีปัญหาในการสร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่น เพราะไม่สามารถควบคุมอารมณ์และความต้องการของตัวเองได้
แต่ไม่ต้องกังวลไปค่ะ! วันนี้หม่ามี้มีเคล็ดลับดีๆ มาแชร์ให้คุณแม่ทุกคน เพื่อช่วยฝึกให้ลูกน้อยรู้จักรอคอยได้อย่างมีประสิทธิภาพ รับรองว่าทำตามแล้ว ชีวิตคุณแม่จะง่ายขึ้น และลูกน้อยจะมีทักษะสำคัญติดตัวไปตลอดชีวิตเลยล่ะค่ะ!

วิธีฝึกให้เด็กรู้จักการรอคอย
1. เริ่มจากการรอคอยในระยะเวลาสั้นๆ
การฝึกให้เด็กรอคอยควรเริ่มจากช่วงเวลาสั้นๆ ก่อน แล้วค่อยๆ เพิ่มระยะเวลาขึ้น
ตัวอย่าง: เมื่อลูกขอขนม แทนที่จะให้ทันที ให้บอกว่า “แม่จะให้ขนมหลังจากล้างมือเสร็จนะ” ซึ่งใช้เวลาเพียง 1-2 นาที เมื่อเด็กทำได้ ให้เพิ่มเวลาเป็น “หลังจากเก็บของเล่นเสร็จ” ซึ่งอาจใช้เวลา 5-10 นาที
2. ใช้นาฬิกาหรือตัวจับเวลา
การใช้อุปกรณ์วัดเวลาช่วยให้เด็กเห็นภาพของเวลาที่ต้องรอได้ชัดเจนขึ้น
ตัวอย่าง: ใช้นาฬิกาทรายหรือแอปพลิเคชันจับเวลาในสมาร์ทโฟน เมื่อลูกต้องรอ 5 นาทีก่อนดูการ์ตูน ให้ลูกดูนาฬิกาทรายไปด้วย พอทรายหมด ก็ถึงเวลาดูการ์ตูนพอดี
3. สอนเทคนิคการรอคอยอย่างมีประสิทธิภาพ
ฝึกให้เด็กรู้จักใช้เวลารอคอยให้เป็นประโยชน์
ตัวอย่าง: สอนให้ลูกร้องเพลง นับเลข หรือเล่นเกมง่ายๆ ในใจระหว่างรอ เช่น เมื่อต้องรอคิวที่ร้านอาหาร ชวนเด็กเล่นเกม “สังเกตสิ่งของสีแดงในร้าน” หรือ “นับจำนวนคนใส่แว่นตา”
4. ใช้การเล่นเป็นเครื่องมือในการฝึก
เกมและกิจกรรมสนุกๆ สามารถช่วยฝึกการรอคอยได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ตัวอย่าง:
- เล่นเกม “ซ่อนหา” โดยให้เด็กนับถึง 20 ก่อนออกตามหา
- ทำกิจกรรมปลูกต้นไม้ ซึ่งต้องรอหลายวันกว่าจะเห็นผล
5. ให้รางวัลเมื่อรอได้
เด็กๆ ชอบคำชมนะคะ ใช้ตรงนี้เป็นแรงจูงใจได้เลย
ตัวอย่าง: เมื่อลูกรอคอยได้ตามที่ตกลงกันไว้ ให้คำชมเชยหรือสิทธิพิเศษเล็กๆ น้อยๆ เช่น “เก่งมากที่รอได้ วันนี้หนูเลือกนิทานก่อนนอนได้ 2 เรื่องเลยนะ”

6. เป็นตัวอย่างที่ดี
เด็กๆ มักเลียนแบบพฤติกรรมของผู้ใหญ่ การแสดงให้เห็นว่าผู้ใหญ่ก็ต้องรอคอยเช่นกันจะช่วยให้เด็กเข้าใจและยอมรับการรอคอยได้ดีขึ้น
ตัวอย่าง: เมื่อต้องรอคิวในธนาคาร พูดให้ลูกฟังว่า “หม่ามี้ก็ต้องรอเหมือนกัน แต่ไม่เป็นไร เรามาคุยกันเรื่องสนุกๆ ระหว่างรอดีกว่า”
7. สอนการวางแผนและจัดลำดับความสำคัญ
การรู้จักวางแผนช่วยให้เด็กเข้าใจว่าบางครั้งต้องรอให้ถึงเวลาที่เหมาะสม
ตัวอย่าง: ช่วยเด็กวางแผนกิจกรรมในวันหยุด โดยเขียนรายการสิ่งที่อยากทำ แล้วจัดลำดับว่าจะทำอะไรก่อนหลัง ทำให้เด็กเห็นว่าบางกิจกรรมต้องรอจนกว่าจะถึงเวลาที่เหมาะสม
8. ใช้เรื่องเล่าและนิทานสอนเรื่องการรอคอย
นิทานเป็นเครื่องมือที่ดีในการสอนบทเรียนชีวิตแถมยังสนุกมากๆ เลยค่ะ
ตัวอย่าง: อ่านนิทานเรื่อง “กระต่ายกับเต่า” ให้ลูกฟัง แล้วพูดคุยถึงการที่เต่าค่อยๆ เดินอย่างอดทนจนชนะการแข่งขัน
9. สร้างกิจวัตรประจำวันที่คาดเดาได้
การมีตารางกิจวัตรที่แน่นอนช่วยให้ลูกรู้ว่าต้องรอถึงเวลาไหนสำหรับกิจกรรมต่างๆ
ตัวอย่าง: กำหนดเวลาอาหารเย็น การอาบน้ำ และการนอนที่แน่นอน ทำให้เด็กรู้ว่าต้องรอถึงเวลาไหนจึงจะได้ทำกิจกรรมเหล่านั้น
10. สอนเทคนิคผ่อนคลายความเครียด
การรอคอยอาจทำให้ลูกรู้สึกเครียดหรือหงุดหงิด การสอนวิธีจัดการความรู้สึกเหล่านี้จะช่วยให้การรอคอยง่ายขึ้น
ตัวอย่าง: สอนเทคนิคการหายใจลึกๆ หรือการนับเลขในใจเมื่อรู้สึกหงุดหงิด
สรุป
สิ่งที่หม่ามี้ได้เรียนรู้จากประสบการณ์นี้คือ การฝึกให้ลูกรู้จักรอคอยไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิด แค่เราใจเย็น ใช้ความรักและความเข้าใจ พร้อมกับมีเทคนิคดีๆ ก็สามารถทำได้ และผลลัพธ์ที่ได้นั้นคุ้มค่ามากๆ เลยล่ะค่ะ ลูกที่รู้จักรอจะเป็นเด็กที่อดทน ควบคุมตัวเองได้ดี และเข้ากับคนอื่นได้ง่าย
แล้วคุณแม่ล่ะคะ เคยลองใช้วิธีไหนในการฝึกให้ลูกรู้จักรอคอยบ้าง? มีเทคนิคอะไรที่ได้ผลดีเป็นพิเศษไหม? หรือถ้ายังไม่เคยลอง คิดว่าจะเริ่มจากวิธีไหนก่อนดี ระหว่างการใช้นาฬิกาทราย กับการสอนผ่านนิทาน?
อย่าลืมแชร์ประสบการณ์ของคุณในคอมเมนต์ด้านล่างนะคะ หม่ามี้อยากรู้จังเลยว่าคุณแม่คนอื่นๆ มีวิธีจัดการกับเรื่องนี้อย่างไรบ้าง มาแลกเปลี่ยนกันนะคะ!