6 สิ่งที่ควรทำและ 6 สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงในการสอนเรื่องการเงินให้ลูก

ในยุคปัจจุบันที่เศรษฐกิจโลกมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและไม่แน่นอน การสอนเรื่องการเงินให้ลูกตั้งแต่เล็กเป็นสิ่งที่สำคัญมากขึ้นกว่าเดิม ความรู้และทักษะในการจัดการเงินจะช่วยให้ลูกสามารถเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ที่มีความสุขและมั่นคงทางการเงิน ในทางกลับกัน หากลูกขาดความรู้เรื่องการเงิน ก็อาจนำไปสู่ความทุกข์ยากและปัญหาทางการเงินในอนาคต

ทำไมการสอนเรื่องการเงินถึงสำคัญ?

เพราะการไม่สอนให้ลูกเข้าใจเรื่องการเงินก็เหมือนการปล่อยให้พวกเขาต้องเผชิญกับโลกที่เต็มไปด้วยความท้าทายและความไม่แน่นอนทางการเงินโดยไม่มีทักษะในการรับมือ พ่อแม่หลายคนอาจเคยเผชิญกับปัญหาทางการเงินที่ทำให้ชีวิตต้องลำบาก การสอนให้ลูกมีความรู้และทักษะทางการเงินตั้งแต่เล็กจะเป็นการป้องกันไม่ให้ลูกต้องประสบกับปัญหาเดียวกันในอนาคต

คราวนี้เรามาดู 6 สิ่งที่ควรทำและ 6 สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงในการสอนเรื่องการเงินให้ลูกกันค่ะ

6 สิ่งที่ควรทำ

  1. เริ่มสอนตั้งแต่อายุน้อย

สมองของเด็กๆ มีความยืดหยุ่นสูงและพร้อมเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ การปลูกฝังนิสัยทางการเงินที่ดีตั้งแต่เด็กจะทำให้เกิดเป็นพฤติกรรมถาวรได้ง่ายกว่า การเริ่มสอนตั้งแต่อายุยังน้อย เด็กจะมีพื้นฐานความรู้ทางการเงินที่แข็งแกร่งและมีเวลาในการฝึกฝนทักษะนี้ยาวนานก่อนเข้าสู่วัยผู้ใหญ่

ตัวอย่าง: ใช้กระปุกออมสินให้ลูกเก็บเงินเหรียญ และอธิบายว่าการเก็บเงินทีละน้อยจะทำให้มีเงินก้อนใหญ่ในอนาคต

  1. สอนผ่านกิจกรรมในชีวิตประจำวัน

การเรียนรู้ผ่านประสบการณ์จริงช่วยให้เด็กเข้าใจและจดจำได้ดีกว่าการสอนทฤษฎีเพียงอย่างเดียว การสอนผ่านกิจกรรมในชีวิตประจำวันจะทำให้เด็กจะเห็นภาพการใช้ความรู้ทางการเงินในชีวิตจริง และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้อย่างเป็นธรรมชาติ

ตัวอย่าง: เมื่อไปซื้อของด้วยกัน ให้ลูกช่วยเปรียบเทียบราคาสินค้าและเลือกสิ่งที่คุ้มค่าที่สุด

  1. ใช้เครื่องมือและเทคโนโลยีช่วยสอน

เด็กยุคใหม่คุ้นเคยกับเทคโนโลยี การใช้แอพหรือเกมส์จะช่วยดึงดูดความสนใจและทำให้การเรียนรู้สนุกมากขึ้น การใช้เครื่องมือและเทคโนโลยีมาช่วยจะทำให้เด็กจะรู้สึกสนุกกับการเรียนรู้เรื่องการเงิน และได้ฝึกทักษะการใช้เทคโนโลยีไปพร้อมกัน

ตัวอย่าง: Application เกี่ยวกับการเงินบนมือถือจะช่วยให้เด็กๆ เรียนรู้การจัดการเงินผ่านการแบ่งเงินเป็นส่วนๆ เช่น ส่วนที่ใช้จ่าย ส่วนที่เก็บออม และส่วนที่แบ่งปัน

  1. สอนเรื่องการออมและการลงทุน

การออมและการลงทุนเป็นพื้นฐานสำคัญของความมั่นคงทางการเงินในระยะยาว เด็กจะเข้าใจความสำคัญของการวางแผนการเงินระยะยาวและมีนิสัยการออมที่ดีติดตัวไปจนโต

ตัวอย่าง: เปิดบัญชีออมทรัพย์ให้ลูก และอธิบายเรื่องดอกเบี้ยที่จะได้รับจากการฝากเงิน

  1. สอนเรื่องการให้และการแบ่งปัน

การให้และการแบ่งปันช่วยสร้างความเห็นอกเห็นใจและความรับผิดชอบต่อสังคม เด็กจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีจิตใจเอื้อเฟื้อและเข้าใจคุณค่าของเงินที่นอกเหนือจากการใช้จ่ายเพื่อตนเอง

ตัวอย่าง: ส่งเสริมให้ลูกบริจาคของเล่นหรือเสื้อผ้าที่ไม่ได้ใช้แล้วให้กับผู้ที่ต้องการ หรือร่วมกันทำกิจกรรมการกุศล

  1. เป็นแบบอย่างที่ดีในการจัดการการเงิน

เด็กมักเรียนรู้จากการสังเกตและเลียนแบบพฤติกรรมของพ่อแม่ เด็กจะซึมซับนิสัยทางการเงินที่ดีจากพ่อแม่โดยธรรมชาติ

ตัวอย่าง: แสดงให้ลูกเห็นว่าคุณมีการวางแผนการใช้จ่าย การออม และการลงทุนอย่างไร

 

6 สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง

  1. หลีกเลี่ยงการปิดบังเรื่องการเงินในครอบครัว

การปิดบังอาจทำให้เด็กเกิดความกังวลหรือเข้าใจผิดเกี่ยวกับการเงิน การบอกความจริงกับเด็ก เด็กจะเรียนรู้การจัดการการเงินอย่างเปิดเผยและตรงไปตรงมา ซึ่งจะช่วยสร้างความไว้วางใจและความเข้าใจที่ดีในครอบครัว

ตัวอย่าง: แทนที่จะพูดว่า “เรื่องเงินเป็นเรื่องของผู้ใหญ่” ลองอธิบายให้ลูกฟังว่าทำไมบางครั้งเราจึงต้องประหยัดหรือไม่สามารถซื้อของบางอย่างได้

  1. หลีกเลี่ยงการใช้เงินเป็นรางวัลหรือการลงโทษ

การใช้เงินในลักษณะนี้อาจทำให้เด็กมองเงินเป็นเครื่องมือในการควบคุมพฤติกรรม แทนที่จะเห็นคุณค่าที่แท้จริง การหลีกเลี่ยงการใช้เงินเป็นรางวัลหรือการลงโทษจะทำให้เด็กเรียนรู้ที่จะทำความดีหรือมีพฤติกรรมที่เหมาะสมโดยไม่หวังผลตอบแทนเป็นตัวเงิน

ตัวอย่าง: แทนที่จะให้เงินเป็นรางวัลเมื่อลูกทำความดี ลองให้คำชมหรือให้รางวัลที่ไม่ใช่ตัวเงิน เช่น การใช้เวลาร่วมกันทำกิจกรรมที่ลูกชอบ

  1. หลีกเลี่ยงการสร้างความกลัวหรือความวิตกกังวลเกี่ยวกับเงิน

ความกลัวหรือความวิตกกังวลเกี่ยวกับเงินอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพจิตและทัศนคติต่อการเงินในระยะยาว การหลีกเลี่ยงการสร้างความกังวลเกี่ยวกับเงินจะส่งผลให้เด็กมีทัศนคติที่ดีและมั่นใจในการจัดการการเงิน ไม่รู้สึกกดดันหรือเครียดเกินไป

ตัวอย่าง: แทนที่จะพูดว่า “เราไม่มีเงินพอ” ลองบอกว่า “เรากำลังวางแผนการใช้เงินอย่างรอบคอบเพื่ออนาคตของครอบครัว”

  1. หลีกเลี่ยงการเปรียบเทียบฐานะทางการเงินกับผู้อื่น

การเปรียบเทียบอาจนำไปสู่ความอิจฉาริษยาหรือความรู้สึกด้อยค่า การหลีกเลี่ยงในการเปรียบเทียบจะทำให้เด็กเรียนรู้ที่จะพอใจกับสิ่งที่ตนมีและมุ่งเน้นการพัฒนาตนเองมากกว่าการแข่งขันกับผู้อื่น

ตัวอย่าง: แทนที่จะพูดว่า “ดูสิ เพื่อนลูกมีของเล่นแพงๆ เยอะแยะเลย” ลองสอนให้ลูกเห็นคุณค่าของสิ่งที่มีอยู่และความพอเพียง หรือหากดูแล้วสิ่งนั้นมีประโยชน์และลูกยังคงอยากได้ก็ลองชวนกันหาวิธีสร้างรายได้เพิ่มเพื่อให้ลูกมีเงินไปซื้อสิ่งที่ต้องการ

  1. หลีกเลี่ยงการให้เงินลูกโดยไม่มีเงื่อนไข

การให้เงินโดยไม่มีเงื่อนไขอาจทำให้เด็กไม่เข้าใจคุณค่าของเงินและความสำคัญของการทำงาน การสร้างเงื่อนไขในการให้เงินจะทำให้เด็กเรียนรู้ความสัมพันธ์ระหว่างการทำงานและรายได้ และเข้าใจคุณค่าของเงินมากขึ้น

ตัวอย่าง: แทนที่จะให้ค่าขนมโดยไม่มีเงื่อนไข ลองกำหนดงานบ้านหรือความรับผิดชอบเล็กๆ น้อยๆ ให้ลูกทำเพื่อแลกกับค่าขนม

  1. หลีกเลี่ยงการละเลยการสอนเรื่องหนี้สินและการใช้บัตรเครดิต

หนี้สินและบัตรเครดิตเป็นส่วนสำคัญของระบบการเงินในชีวิตจริง การไม่สอนอาจทำให้เด็กขาดความรู้และทักษะในการจัดการเรื่องนี้เมื่อโตขึ้น ตรงกันข้ามหากเด็กเข้าใจวิธีการใช้บัตรเครดิตให้ถูกวิธีเด็กจะเข้าใจความรับผิดชอบทางการเงินอย่างครบถ้วนและรู้จักใช้เครื่องมือทางการเงินอย่างชาญฉลาดเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่

ตัวอย่าง: อธิบายให้ลูกเข้าใจว่าบัตรเครดิตไม่ใช่เงินฟรี และต้องมีความรับผิดชอบในการใช้จ่ายและชำระหนี้

สรุป

การสอนเรื่องการเงินให้ลูกเป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลาและความอดทน แต่ผลลัพธ์ที่ได้คุ้มค่าเสมอ เมื่อลูกของคุณเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่มีความรับผิดชอบทางการเงินและสามารถจัดการการเงินของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ นั่นคือรากฐานสำคัญที่จะช่วยให้พวกเขามีคุณภาพชีวิตที่ดีในอนาคตการวางแผนการเงินที่ดีไม่เพียงแต่จะช่วยให้ลูกของคุณมีความมั่นคงทางการเงินเท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างมรดกที่มีค่ามากกว่าเงินทอง นั่นคือ ทักษะและความรู้ในการจัดการการเงินที่จะติดตัวพวกเขาไปตลอดชีวิต

Related Posts

Comments

Stay Connected

spot_img

Recent Stories